บิลเงินสด (Cash Bill) เป็น หลักฐานการซื้อขายสินค้าหรือบริการที่ไม่มีการออกใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบ มักใช้ในกรณีที่ผู้ขายไม่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) หรือเป็นธุรกิจขนาดเล็กที่ไม่มีหน้าที่ต้องออกใบกำกับภาษี อย่างไรก็ตาม บิลเงินสดสามารถใช้เป็นหลักฐานค่าใช้จ่ายได้หากมีการจัดการอย่างถูกต้อง
หากไม่มีการจัดทำและจัดเก็บบิลเงินสดให้ถูกต้อง อาจส่งผลให้ค่าใช้จ่ายไม่สามารถนำมาหักภาษีได้ หรืออาจถูกกรมสรรพากรตรวจสอบและปฏิเสธได้ ดังนั้น ธุรกิจควรมีการบริหารจัดการบิลเงินสดให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของกรมสรรพากรเพื่อให้สามารถใช้เป็นค่าใช้จ่ายทางภาษีได้อย่างถูกต้อง
จัดการบิลเงินสด เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายทางภาษีอย่างถูกต้อง วันนี้เรามาดูกันครับ
Table of Content : สารบัญ
2. เงื่อนไขของบิลเงินสดที่สามารถใช้เป็นค่าใช้จ่ายทางภาษี
3. วิธีการจัดการบิลเงินสดเพื่อใช้เป็นค่าใช้จ่ายทางภาษี
4. ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยในการใช้บิลเงินสดเป็นค่าใช้จ่ายทางภาษี
5. ข้อควรระวังเกี่ยวกับการใช้บิลเงินสด
6. ทางเลือกที่ดีกว่าการใช้บิลเงินสด
7. การเตรียมความพร้อมสำหรับการตรวจสอบภาษี
8. บทลงโทษกรณีจัดทำเอกสารหลักฐานอันเป็นเท็จ
1. บิลเงินสด คืออะไร?
บิลเงินสด (Cash Bill) เป็นเอกสารที่ร้านค้าหรือผู้ขายออกให้เมื่อลูกค้าชำระค่าสินค้าหรือบริการเป็นเงินสดทันที โดยไม่ต้องใช้เครดิตหรือมีการวางบิลในภายหลัง บิลเงินสดมักถูกใช้ในธุรกิจขนาดเล็กหรือร้านค้าที่ไม่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)
ความแตกต่างระหว่างบิลเงินสดและใบกำกับภาษี
รายการ | บิลเงินสด | ใบกำกับภาษี |
---|---|---|
ใช้สำหรับอะไร? | บันทึกการขายเงินสดทั่วไป | ใช้สำหรับการขายที่มี VAT |
มี VAT หรือไม่? | ไม่มี | มี VAT แสดงแยกต่างหาก |
ใช้ลดหย่อนภาษีได้ไหม? | ไม่ได้โดยตรง (ต้องมีเอกสารเสริม) | ใช้ลดหย่อนภาษีได้ |
อ่านเพิมเติม: ภาษีซื้อแบบไหนขอคืนไม่ได้?
อ่านเพิมเติม: ค่ารับรอง ใช้เป็นค่าใช้จ่ายทางภาษีได้หรือไม่?
2. เงื่อนไขของบิลเงินสดที่สามารถใช้เป็นค่าใช้จ่ายทางภาษี
- ค่าใช้จ่ายต้องเกี่ยวข้องกับธุรกิจ – ค่าใช้จ่ายนั้นต้องเป็นสิ่งที่จำเป็นและสมเหตุสมผลสำหรับการดำเนินธุรกิจ เช่น ค่าวัสดุอุปกรณ์สำนักงาน ค่าการตลาด ค่าเช่าสถานที่ หรือค่าจ้างแรงงาน
- ต้องเป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง – ต้องสามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงและจำเป็นต่อธุรกิจ ไม่ใช่ค่าใช้จ่ายที่สร้างขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงภาษี
- บิลเงินสดต้องมีข้อมูลครบถ้วน – ประกอบไปด้วย:
- ชื่อและที่อยู่ของผู้ขาย – ระบุชื่อของผู้ขายและที่อยู่ที่สามารถติดต่อได้
- เลขประจำตัวผู้เสียภาษี 13 หลัก ของผู้ขาย
- เลขที่บิลและวันที่ออกบิล – กำหนดวันที่ที่แน่นอนเพื่อเป็นหลักฐานที่ชัดเจน
- รายละเอียดของสินค้า/บริการที่ซื้อ – อธิบายรายการสินค้า/บริการที่ชัดเจน รวมถึงปริมาณและราคาต่อหน่วย
- จำนวนเงินที่ชำระ – ระบุจำนวนเงินทั้งหมดที่ชำระ และหากเป็นไปได้ให้แสดงการคำนวณราคาต่อหน่วย
- ชื่อผู้ซื้อ (หากเป็นไปได้ควรระบุชื่อบริษัทของผู้ซื้อด้วย)
- ลายเซ็นของผู้ขายหรือผู้รับเงิน (ถ้ามี): เพิ่มความน่าเชื่อถือของบิลเงินสด
- ต้องเป็นค่าใช้จ่ายที่ไม่ขัดต่อกฎหมายภาษี – ค่าใช้จ่ายบางประเภท เช่น ค่ารับรองลูกค้า อาจถูกจำกัดการหักภาษี ดังนั้นควรศึกษากฎหมายที่เกี่ยวข้อง
- ต้องมีการบันทึกบัญชีอย่างถูกต้อง – ค่าใช้จ่ายจากบิลเงินสดต้องถูกบันทึกลงในระบบบัญชีของธุรกิจอย่างชัดเจนเพื่อให้สามารถตรวจสอบได้
3. วิธีการจัดการบิลเงินสดเพื่อใช้เป็นค่าใช้จ่ายทางภาษี
- ขอให้ผู้ขายออกบิลเงินสดที่ถูกต้องและครบถ้วน
- หากเป็นไปได้ ควรขอให้ผู้ขายออกใบเสร็จรับเงินที่มีการระบุชื่อบริษัทของผู้ซื้อ
- หากมีการซื้อสินค้าจากบุคคลธรรมดา ควรมีหนังสือรับรองการจ่ายเงินแนบไว้เป็นหลักฐานเพิ่มเติม
- บันทึกค่าใช้จ่ายอย่างเป็นระบบ
- แยกค่าใช้จ่ายแต่ละประเภทให้ชัดเจน เช่น
- ค่าใช้จ่ายด้านการตลาด
- ค่าใช้จ่ายด้านพนักงาน
- ค่าเดินทาง
- ค่าซ่อมแซม
- ค่าวัสดุอุปกรณ์ เป็นต้น
- แยกค่าใช้จ่ายแต่ละประเภทให้ชัดเจน เช่น
- จัดเก็บบิลเงินสดอย่างเหมาะสม
- ควรแยกบิลเงินสดออกจากค่าใช้จ่ายส่วนตัวเพื่อป้องกันความสับสน
- เก็บบิลเงินสดในแฟ้มเอกสาร หรือแปลงเป็นรูปแบบดิจิทัลโดยการสแกนหรือถ่ายภาพเก็บไว้
- สำรองข้อมูลเอกสาร
- ควรมีสำเนาบิลเงินสดเก็บไว้ทั้งในรูปแบบกระดาษและรูปแบบดิจิทัล เผื่อกรณีที่มีการตรวจสอบจากกรมสรรพากร
- ศึกษากฎหมายภาษีที่เกี่ยวข้อง
- ตรวจสอบว่าค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นสามารถหักเป็นค่าใช้จ่ายทางภาษีได้หรือไม่
- ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีหากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการบันทึกบัญชี
- จัดทำรายงานบัญชีและภาษีให้ถูกต้อง
- รายงานภาษีซื้อ-ขาย และรายงานภาษีเงินได้ควรสอดคล้องกับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง
- หากค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนมาก ควรมีนักบัญชีตรวจสอบความถูกต้องของเอกสารเป็นระยะ
4. ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยในการใช้บิลเงินสดเป็นค่าใช้จ่ายทางภาษี
- บิลเงินสดไม่มีข้อมูลที่ครบถ้วน – ข้อมูลที่ขาดไปอาจทำให้กรมสรรพากรไม่ยอมรับค่าใช้จ่าย
- ใช้บิลเงินสดปลอม – การใช้เอกสารเท็จอาจส่งผลให้ธุรกิจถูกปรับหรือเสียภาษีย้อนหลัง
- ไม่มีการบันทึกบัญชี – หากค่าใช้จ่ายไม่ได้ถูกบันทึกอย่างเป็นทางการ ธุรกิจจะไม่สามารถใช้เป็นค่าใช้จ่ายหักภาษีได้
- เก็บบิลเงินสดไม่เป็นระเบียบ – หากไม่มีระบบจัดเก็บที่ดี อาจทำให้เกิดปัญหาในการตรวจสอบภาษีภายหลัง
5. ข้อควรระวังเกี่ยวกับการใช้บิลเงินสด
- ไม่สามารถใช้บิลเงินสดเพื่อนำไปขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ได้
- หากบิลเงินสดมีข้อมูลไม่ครบถ้วน อาจถูกกรมสรรพากรตีตกว่าไม่ใช่ค่าใช้จ่ายที่ถูกต้อง
- การใช้บิลเงินสดปลอมหรือบิลจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ อาจนำไปสู่ปัญหาทางกฎหมายและภาษี
6. ทางเลือกที่ดีกว่าการใช้บิลเงินสด
- ใช้ใบกำกับภาษีอย่างถูกต้องหากมีการจดทะเบียน VAT
- ขอใบเสร็จรับเงินจากผู้ขายที่เป็นนิติบุคคลหรือจดทะเบียนภาษีอย่างถูกต้อง
- ใช้ช่องทางการชำระเงินที่มีหลักฐานชัดเจน เช่น การโอนเงินผ่านธนาคารหรือจ่ายผ่าน e-Payment
- ตรวจสอบว่าผู้ขายมีการจดทะเบียนภาษีถูกต้อง และสามารถออกเอกสารภาษีที่ถูกต้องได้
7. การเตรียมความพร้อมสำหรับการตรวจสอบภาษี
- เก็บเอกสารทางบัญชีและภาษีอย่างน้อย 5 ปี: ควรเก็บเอกสารให้พร้อมสำหรับการตรวจสอบในกรณีที่กรมสรรพากรตรวจสอบย้อนหลัง
- ตรวจสอบเอกสารค่าใช้จ่ายอย่างสม่ำเสมอ: การตรวจสอบเอกสารเป็นประจำช่วยลดข้อผิดพลาด
- ใช้ที่ปรึกษาด้านภาษีหรือผู้สอบบัญชี: การใช้ผู้เชี่ยวชาญช่วยตรวจสอบบัญชีจะช่วยให้ธุรกิจดำเนินการได้ถูกต้องตามกฎหมาย
- ปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับด้านภาษี: การปฏิบัติตามข้อกำหนดภาษีจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดปัญหาภาษีในอนาคต
8. บทลงโทษกรณีจัดทำเอกสารหลักฐานอันเป็นเท็จ
พระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ. 2543
- “มาตรา ๓๙ ผู้ใดลงรายการเท็จ แก้ไข ละเว้นการลงรายการในบัญชีหรืองบการเงิน หรือแก้ไขเอกสารที่ต้องใช้ประกอบการลงบัญชีเพื่อให้ผิดความเป็นจริง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชี ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำ ทั้งปรับ”
ประมวลรัษฎากร
- “มาตรา ๓๗ ผู้ใดกระทำการดังต่อไปนี้ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามเดือนถึงเจ็ดปีและปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสองแสนบาท
(๑) โดยเจตนาแจ้งข้อความเท็จ หรือให้ถ้อยคำเท็จ หรือตอบคำถามด้วยถ้อยคำอันเป็นเท็จหรือนำพยานหลักฐานเท็จมาแสดง เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากรหรือเพื่อขอคืนภาษีอากรตามลักษณะนี้ หรือ
(๒) โดยความเท็จ โดยฉ้อโกงหรืออุบาย หรือโดยวิธีการอื่นใดทำนองเดียวกัน หลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากรหรือขอคืนภาษีอากรตามลักษณะนี้”
9. สรุป
การทำให้บิลเงินสดสามารถใช้เป็นค่าใช้จ่ายทางภาษีได้อย่างถูกต้องนั้น จำเป็นต้องมีการจัดการเอกสาร บันทึกบัญชี และศึกษากฎหมายภาษีอย่างรอบคอบ การปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ของกรมสรรพากรและจัดเก็บหลักฐานให้ครบถ้วนจะช่วยให้ธุรกิจสามารถลดภาระภาษีได้อย่างถูกต้องและโปร่งใส นอกจากนี้ การใช้เทคโนโลยีและระบบดิจิทัลในการจัดเก็บบิลเงินสดจะช่วยให้การบริหารจัดการเอกสารมีประสิทธิภาพมากขึ้น และลดความเสี่ยงในการถูกตรวจสอบจากหน่วยงานภาครัฐ
หากคุณไม่มั่นใจในการคำนวณภาษีหรือจัดการบัญชีอย่างถูกต้อง
สำนักงานบัญชีกรุงเทพ (2009) ยินดีที่จะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกหนึ่ง ให้คุณได้ผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมให้คำปรึกษาและดูแลบัญชี-ภาษีของคุณ ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการทำผิดกฎหมาย และช่วยให้คุณวางแผนการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากสนใจ ติดต่อเราได้ครับ