Table of Content : สารบัญ
1. เริ่มต้นด้วยการจัดระเบียบบัญชี
2. ประเภทภาษีที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ
3. การคำนวณภาษีจากรายได้และค่าใช้จ่าย
5. ปัญหาที่เจ้าของธุรกิจตกแต่งภายในเจอบ่อย
ทำไมธุรกิจตกแต่งภายในต้องใส่ใจเรื่องบัญชีและภาษี?
แม้ธุรกิจนี้จะเน้นความคิดสร้างสรรค์ แต่งานเบื้องหลังที่สำคัญไม่แพ้กันคือ “การบริหารต้นทุน” และ “การวางแผนภาษี” ที่ถูกต้อง
เพราะลักษณะของธุรกิจมักเกี่ยวข้องกับ
- การจ้างซับคอนแทรค
- การสั่งซื้อวัสดุก่อสร้าง
- การคิดค่าบริการเป็นโครงการ
- การชำระเงินเป็นงวดตามสัญญา
- การจัดการทีมงานและค่าแรงจำนวนมาก
หากไม่มีระบบบัญชีที่ดี จะเสี่ยงต่อ
- ค่าปรับจากการยื่นภาษีผิด
- การวิเคราะห์ต้นทุนคลาดเคลื่อน
- เสียโอกาสในการขอสินเชื่อหรือเติบโต
- ภาระภาษีที่สูงโดยไม่จำเป็น
เลือกรูปแบบธุรกิจที่เหมาะสมกับขนาดและเป้าหมายของกิจการ
บุคคลธรรมดา: เหมาะกับผู้เริ่มต้นหรือทำงานอิสระ รายได้ไม่สูงมาก การจัดการภาษีง่าย แต่มีข้อจำกัดเรื่องเครดิตธุรกิจและการขยายกิจการในอนาคต
นิติบุคคล (บริษัท/หจก.): เหมาะกับกิจการที่มีการจ้างงาน มีรายได้ประจำ และต้องการสร้างความน่าเชื่อถือในสายตาลูกค้าและคู่ค้า รวมถึงสามารถวางแผนภาษีและขยายธุรกิจได้ในระยะยาว
1. เริ่มต้นด้วยการจัดระเบียบบัญชี
- แยกบัญชีธุรกิจกับบัญชีส่วนตัว โดยเปิดบัญชีธนาคารแยกสำหรับธุรกิจโดยเฉพาะ
- แยกค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ เช่น ค่าจ้างพนักงาน ค่าซื้อวัสดุ ค่าเช่าสำนักงาน
- เก็บเอกสารสำคัญให้ครบถ้วน: เช่น ใบเสร็จรับเงิน ใบกำกับภาษี และสัญญาต่าง ๆ เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการยื่นภาษีและตรวจสอบย้อนหลังได้
- บันทึกข้อมูลทางการเงินให้ครบถ้วน: ทุกธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ เช่น รายได้ ค่าวัสดุ ค่าจ้างแรงงาน และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ควรมีการบันทึกอย่างเป็นระบบ
อ่านเพิ่มเติม: e-Tax Invoice by Email กับ e-Tax Invoice & e-Receipt คืออะไร?
2. ประเภทภาษีที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ
ธุรกิจตกแต่งภายในมีหลายรูปแบบ ตั้งแต่ธุรกิจขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่ ซึ่งการเข้าใจภาษีแต่ละประเภทจะช่วยให้ดำเนินกิจการได้ง่ายยิ่งขึ้น ในเรื่องของการคำนวณและยื่นภาษีอย่างถูกต้อง เพื่อที่จะไม่ต้องจ่ายเบี้ยปรับ เงินเพิ่มภายหลัง:
- ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT): หากรายได้ของธุรกิจเกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี จำเป็นต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และเรียกเก็บภาษีจากลูกค้า 7% พร้อมกับออกใบกำกับภาษี รวมถึงนำส่งภาษีให้กับกรมสรรพากรทุกเดือน
- ภาษีหัก ณ ที่จ่าย (Withholding Tax): หากจ้างผู้รับเหมาหรือลูกจ้าง หรือจ่ายค่าเช่า ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย เช่น 3% จากค่าบริการ หรือ 5% จากค่าเช่า ตามกรณี และนำส่งกรมสรรพากร
- ภาษีเงินได้นิติบุคคล: หากจดทะเบียนเป็นบริษัท ต้องยื่นภาษีเงินได้นิติบุคคล อัตราภาษีอยู่ที่ 15-20% ตามระดับรายได้
- ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา: หากดำเนินธุรกิจในนามบุคคลธรรมดา ต้องยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามอัตราก้าวหน้า หรือ progressive tax rates
อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา / Progressive Tax Rates
รายได้ต่อปี (บาท) | อัตราภาษี (%) |
---|---|
0 – 150,000 | ยกเว้น |
150,001 – 300,000 | 5% |
300,001 – 500,000 | 10% |
500,001 – 750,000 | 15% |
750,001 – 1,000,000 | 20% |
1,000,001 – 2,000,000 | 25% |
2,000,001 – 5,000,000 | 30% |
มากกว่า 5,000,000 | 35% |
3. การคำนวณภาษีจากรายได้และค่าใช้จ่าย
การคำนวณภาษีควรนำรายได้มาหักลบกับค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ
รายได้ – ค่าใช้จ่าย = กำไรขาดทุนธุรกิจ
รายได้ของธุรกิจตกแต่งภายในมาจากอะไร?
- ค่าบริการออกแบบภายใน (Interior Design Fee)
- ค่าบริการบริหารจัดการโครงการ (Project Management)
- ค่าจัดหาและติดตั้งเฟอร์นิเจอร์ วัสดุตกแต่ง (FF&E)
- รายได้จากการรับเหมาตกแต่ง (Renovation หรือ Build-in)
สำคัญ: แต่ละประเภทอาจถูกมองว่าเป็น “บริการ” หรือ “จำหน่ายสินค้า” ซึ่งมีผลต่อการเสียภาษี
รายจ่ายอะไรบ้างที่หักภาษีได้?
- ค่าวัสดุตกแต่ง (ไม้ ปูน ไฟ วอลเปเปอร์ ฯลฯ)
- ค่าแรงงาน ช่างเฟอร์นิเจอร์ ช่างสี ช่างไฟ ฯลฯ
- ค่าออกแบบ outsource
- ค่าเดินทาง ค่าที่พักหน้างาน
- ค่าการตลาด ค่าทำเว็บไซต์ ค่าโฆษณา
- ค่าอุปกรณ์สำนักงาน ค่าซื้อโปรแกรม AutoCAD, SketchUp
- ค่าเสื่อมอุปกรณ์ (คอมพิวเตอร์, กล้อง, เครื่องมือวัด)
สำคัญ: ทุกค่าใช้จ่ายต้องมีเอกสารประกอบ เช่น ใบเสร็จ ใบกำกับภาษี ใบโอนเงิน เพื่อใช้หักลดหย่อนภาษีได้
4. ใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษี
- ขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) จากการซื้อวัสดุและอุปกรณ์ที่ใช้ในการดำเนินธุรกิจ
- ใช้ค่าลดหย่อนภาษี จากการลงทุนในเครื่องมือ อุปกรณ์ หรือซอฟต์แวร์ที่ช่วยในการดำเนินธุรกิจ
- หักค่าเสื่อมราคาสินทรัพย์ เช่น เครื่องมือ เครื่องจักร เฟอร์นิเจอร์ และอุปกรณ์สำนักงาน
อ่านเพิ่มเติม: ภาษีมูลค่าเพิ่มในไทย: สิ่งที่เจ้าของธุรกิจควรรู้
อ่านเพิ่มเติม: ภาษีหัก ณ ที่จ่ายในไทย-สิ่งที่เจ้าของธุรกิจควรรู้
5. ปัญหาที่เจ้าของธุรกิจตกแต่งภายในเจอบ่อย
ปัญหา | แนวทางแก้ไข |
---|---|
ใช้จ่ายไปเยอะ แต่ไม่มีใบเสร็จ | ขอใบเสร็จ/ใบกำกับภาษี ทุกครั้งจากร้านค้า |
ลูกค้าหัก ณ ที่จ่าย แต่ไม่ได้หนังสือรับรอง | ทวงถามให้ได้ครบ เพราะใช้ลดภาษีปลายปี |
แยกไม่ออกว่าเป็น “บริการ” หรือ “ขายของ” | ขอคำแนะนำจากนักบัญชีเพื่อออกเอกสารถูกต้อง |
จ่ายค่าแรงสด ไม่บันทึกบัญชี | ทำใบรับจ่ายเงินสด + เซ็นชื่อไว้เป็นหลักฐาน |
ยื่นภาษีช้า ลืมส่ง ภ.พ.30 | ตั้งเตือนทุกเดือน หรือใช้บริการ Outsource |
6. การยื่นภาษีให้ตรงเวลา
- ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ต้องยื่นทุกวันที่ 15 ของเดือนถัดไป
- ภาษีหัก ณ ที่จ่าย ต้องนำส่งภายในวันที่ 7 ของเดือนถัดไป
- ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ต้องยื่นภายในวันที่ 31 มีนาคมของปีถัดไป
- ภาษีเงินได้นิติบุคคล (ครึ่งปี) ต้องยื่นภายในวันที่ 31 สิงหาคม และ (สิ้นปี) ภายในวันที่ 30 เมษายนของปีถัดไป
7. สรุป
การจัดการบัญชีและภาษีในธุรกิจตกแต่งภายในเป็นสิ่งที่เจ้าของธุรกิจทุกคนต้องให้ความสำคัญ การทำบัญชีอย่างมีระเบียบ การเลือกและเข้าใจประเภทภาษีที่เหมาะสม การคำนวณภาษีจากรายได้และค่าใช้จ่าย การใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษี จะช่วยให้ธุรกิจของคุณดำเนินไปได้อย่างถูกต้องและคุ้มค่า หากทำอย่างถูกต้อง ธุรกิจของคุณจะเติบโตอย่างมั่นคงในระยะยาว
ธุรกิจตกแต่งภายในไม่ได้มีแค่ความสวยงามในผลงาน แต่ต้องมาพร้อม “ความเป๊ะในเอกสาร” และ “ความเข้าใจในภาษี” เพราะการจัดการที่ดีจะช่วยให้คุณไม่ต้องเสียภาษีเกินความจำเป็น และยังสามารถวางแผนต่อยอดธุรกิจได้ในอนาคต
ไม่ว่าคุณจะเพิ่งเริ่มทำธุรกิจ หรือดำเนินการมาสักพักแล้ว การมีระบบบัญชีและภาษีที่ถูกต้อง จะช่วยให้คุณ เติบโตอย่างมั่นคง มีกำไร และไม่ถูกสรรพากรย้อนตรวจภายหลัง
หากคุณไม่มั่นใจในการคำนวณภาษีหรือจัดการบัญชีอย่างถูกต้อง
สำนักงานบัญชีกรุงเทพ (2009) ยินดีที่จะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกหนึ่ง ให้คุณได้ผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมให้คำปรึกษาและดูแลบัญชี-ภาษีของคุณ ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการทำผิดกฎหมาย และช่วยให้คุณวางแผนการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากสนใจ ติดต่อเราได้ครับ