เจ้าของธุรกิจตกแต่งภายในต้องรู้! จัดการบัญชีภาษี

เจ้าของธุรกิจตกแต่งภายในต้องรู้!-จัดการบัญชีภาษี
เจ้าของธุรกิจตกแต่งภายในต้องรู้! จัดการบัญชีภาษี
ธุรกิจตกแต่งภายใน (Interior Design & Renovation) กำลังเป็นที่ต้องการในตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากเจ้าของบ้าน คอนโด ออฟฟิศ ร้านค้า ไปจนถึงโครงการอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ ธุรกิจนี้มีรายได้ต่อโครงการสูง แต่ก็มีรายละเอียดต้นทุนซับซ้อน และภาษีที่เกี่ยวข้องหลายประเภท เจ้าของกิจการจึงควรใส่ใจเรื่อง “บัญชีและภาษี” ให้ถูกต้องตั้งแต่เริ่มต้น เพื่อป้องกันปัญหาตามมาในอนาคต
บทความนี้จะพาคุณไปดูว่า เจ้าของธุรกิจตกแต่งภายในควรรู้อะไรเกี่ยวกับบัญชีและภาษีบ้าง พร้อมเทคนิคจัดการให้เหมาะกับขนาดธุรกิจของคุณ

Table of Content : สารบัญ

1. เริ่มต้นด้วยการจัดระเบียบบัญชี

2. ประเภทภาษีที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ

3. การคำนวณภาษีจากรายได้และค่าใช้จ่าย

4. ใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษี

5. ปัญหาที่เจ้าของธุรกิจตกแต่งภายในเจอบ่อย

6. การยื่นภาษีให้ตรงเวลา

7. สรุป

ทำไมธุรกิจตกแต่งภายในต้องใส่ใจเรื่องบัญชีและภาษี?

แม้ธุรกิจนี้จะเน้นความคิดสร้างสรรค์ แต่งานเบื้องหลังที่สำคัญไม่แพ้กันคือ “การบริหารต้นทุน” และ “การวางแผนภาษี” ที่ถูกต้อง
เพราะลักษณะของธุรกิจมักเกี่ยวข้องกับ

  • การจ้างซับคอนแทรค
  • การสั่งซื้อวัสดุก่อสร้าง
  • การคิดค่าบริการเป็นโครงการ
  • การชำระเงินเป็นงวดตามสัญญา
  • การจัดการทีมงานและค่าแรงจำนวนมาก

หากไม่มีระบบบัญชีที่ดี จะเสี่ยงต่อ

  • ค่าปรับจากการยื่นภาษีผิด
  • การวิเคราะห์ต้นทุนคลาดเคลื่อน
  • เสียโอกาสในการขอสินเชื่อหรือเติบโต
  • ภาระภาษีที่สูงโดยไม่จำเป็น

เลือกรูปแบบธุรกิจที่เหมาะสมกับขนาดและเป้าหมายของกิจการ

บุคคลธรรมดา: เหมาะกับผู้เริ่มต้นหรือทำงานอิสระ รายได้ไม่สูงมาก การจัดการภาษีง่าย แต่มีข้อจำกัดเรื่องเครดิตธุรกิจและการขยายกิจการในอนาคต

นิติบุคคล (บริษัท/หจก.): เหมาะกับกิจการที่มีการจ้างงาน มีรายได้ประจำ และต้องการสร้างความน่าเชื่อถือในสายตาลูกค้าและคู่ค้า รวมถึงสามารถวางแผนภาษีและขยายธุรกิจได้ในระยะยาว

1. เริ่มต้นด้วยการจัดระเบียบบัญชี

  • แยกบัญชีธุรกิจกับบัญชีส่วนตัว โดยเปิดบัญชีธนาคารแยกสำหรับธุรกิจโดยเฉพาะ
  • แยกค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ เช่น ค่าจ้างพนักงาน ค่าซื้อวัสดุ ค่าเช่าสำนักงาน
  • เก็บเอกสารสำคัญให้ครบถ้วน: เช่น ใบเสร็จรับเงิน ใบกำกับภาษี และสัญญาต่าง ๆ เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการยื่นภาษีและตรวจสอบย้อนหลังได้
  • บันทึกข้อมูลทางการเงินให้ครบถ้วน: ทุกธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ เช่น รายได้ ค่าวัสดุ ค่าจ้างแรงงาน และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ควรมีการบันทึกอย่างเป็นระบบ

อ่านเพิ่มเติม: e-Tax Invoice by Email กับ e-Tax Invoice & e-Receipt คืออะไร?

2. ประเภทภาษีที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ

ธุรกิจตกแต่งภายในมีหลายรูปแบบ ตั้งแต่ธุรกิจขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่ ซึ่งการเข้าใจภาษีแต่ละประเภทจะช่วยให้ดำเนินกิจการได้ง่ายยิ่งขึ้น ในเรื่องของการคำนวณและยื่นภาษีอย่างถูกต้อง เพื่อที่จะไม่ต้องจ่ายเบี้ยปรับ เงินเพิ่มภายหลัง:

  • ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT): หากรายได้ของธุรกิจเกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี จำเป็นต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และเรียกเก็บภาษีจากลูกค้า 7% พร้อมกับออกใบกำกับภาษี รวมถึงนำส่งภาษีให้กับกรมสรรพากรทุกเดือน
  • ภาษีหัก ณ ที่จ่าย (Withholding Tax): หากจ้างผู้รับเหมาหรือลูกจ้าง หรือจ่ายค่าเช่า ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย เช่น 3% จากค่าบริการ หรือ 5% จากค่าเช่า ตามกรณี และนำส่งกรมสรรพากร
  • ภาษีเงินได้นิติบุคคล: หากจดทะเบียนเป็นบริษัท ต้องยื่นภาษีเงินได้นิติบุคคล อัตราภาษีอยู่ที่ 15-20% ตามระดับรายได้
  • ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา: หากดำเนินธุรกิจในนามบุคคลธรรมดา ต้องยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามอัตราก้าวหน้า หรือ progressive tax rates

อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา / Progressive Tax Rates

รายได้ต่อปี (บาท) อัตราภาษี (%)
0 – 150,000 ยกเว้น
150,001 – 300,000 5%
300,001 – 500,000 10%
500,001 – 750,000 15%
750,001 – 1,000,000 20%
1,000,001 – 2,000,000 25%
2,000,001 – 5,000,000 30%
มากกว่า 5,000,000 35%

3. การคำนวณภาษีจากรายได้และค่าใช้จ่าย

การคำนวณภาษีควรนำรายได้มาหักลบกับค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ

รายได้ – ค่าใช้จ่าย = กำไรขาดทุนธุรกิจ

รายได้ของธุรกิจตกแต่งภายในมาจากอะไร?

  • ค่าบริการออกแบบภายใน (Interior Design Fee)
  • ค่าบริการบริหารจัดการโครงการ (Project Management)
  • ค่าจัดหาและติดตั้งเฟอร์นิเจอร์ วัสดุตกแต่ง (FF&E)
  • รายได้จากการรับเหมาตกแต่ง (Renovation หรือ Build-in)

สำคัญ: แต่ละประเภทอาจถูกมองว่าเป็น “บริการ” หรือ “จำหน่ายสินค้า” ซึ่งมีผลต่อการเสียภาษี

รายจ่ายอะไรบ้างที่หักภาษีได้?

  • ค่าวัสดุตกแต่ง (ไม้ ปูน ไฟ วอลเปเปอร์ ฯลฯ)
  • ค่าแรงงาน ช่างเฟอร์นิเจอร์ ช่างสี ช่างไฟ ฯลฯ
  • ค่าออกแบบ outsource
  • ค่าเดินทาง ค่าที่พักหน้างาน
  • ค่าการตลาด ค่าทำเว็บไซต์ ค่าโฆษณา
  • ค่าอุปกรณ์สำนักงาน ค่าซื้อโปรแกรม AutoCAD, SketchUp
  • ค่าเสื่อมอุปกรณ์ (คอมพิวเตอร์, กล้อง, เครื่องมือวัด)

สำคัญ: ทุกค่าใช้จ่ายต้องมีเอกสารประกอบ เช่น ใบเสร็จ ใบกำกับภาษี ใบโอนเงิน เพื่อใช้หักลดหย่อนภาษีได้

4. ใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษี

  • ขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) จากการซื้อวัสดุและอุปกรณ์ที่ใช้ในการดำเนินธุรกิจ
  • ใช้ค่าลดหย่อนภาษี จากการลงทุนในเครื่องมือ อุปกรณ์ หรือซอฟต์แวร์ที่ช่วยในการดำเนินธุรกิจ
  • หักค่าเสื่อมราคาสินทรัพย์ เช่น เครื่องมือ เครื่องจักร เฟอร์นิเจอร์ และอุปกรณ์สำนักงาน

อ่านเพิ่มเติม: ภาษีมูลค่าเพิ่มในไทย: สิ่งที่เจ้าของธุรกิจควรรู้

อ่านเพิ่มเติม: ภาษีหัก ณ ที่จ่ายในไทย-สิ่งที่เจ้าของธุรกิจควรรู้

5. ปัญหาที่เจ้าของธุรกิจตกแต่งภายในเจอบ่อย

ปัญหา แนวทางแก้ไข
ใช้จ่ายไปเยอะ แต่ไม่มีใบเสร็จ ขอใบเสร็จ/ใบกำกับภาษี ทุกครั้งจากร้านค้า
ลูกค้าหัก ณ ที่จ่าย แต่ไม่ได้หนังสือรับรอง ทวงถามให้ได้ครบ เพราะใช้ลดภาษีปลายปี
แยกไม่ออกว่าเป็น “บริการ” หรือ “ขายของ” ขอคำแนะนำจากนักบัญชีเพื่อออกเอกสารถูกต้อง
จ่ายค่าแรงสด ไม่บันทึกบัญชี ทำใบรับจ่ายเงินสด + เซ็นชื่อไว้เป็นหลักฐาน
ยื่นภาษีช้า ลืมส่ง ภ.พ.30 ตั้งเตือนทุกเดือน หรือใช้บริการ Outsource

6. การยื่นภาษีให้ตรงเวลา

  • ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ต้องยื่นทุกวันที่ 15 ของเดือนถัดไป
  • ภาษีหัก ณ ที่จ่าย ต้องนำส่งภายในวันที่ 7 ของเดือนถัดไป
  • ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ต้องยื่นภายในวันที่ 31 มีนาคมของปีถัดไป
  • ภาษีเงินได้นิติบุคคล (ครึ่งปี) ต้องยื่นภายในวันที่ 31 สิงหาคม และ (สิ้นปี) ภายในวันที่ 30 เมษายนของปีถัดไป

7. สรุป

การจัดการบัญชีและภาษีในธุรกิจตกแต่งภายในเป็นสิ่งที่เจ้าของธุรกิจทุกคนต้องให้ความสำคัญ การทำบัญชีอย่างมีระเบียบ การเลือกและเข้าใจประเภทภาษีที่เหมาะสม การคำนวณภาษีจากรายได้และค่าใช้จ่าย การใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษี  จะช่วยให้ธุรกิจของคุณดำเนินไปได้อย่างถูกต้องและคุ้มค่า หากทำอย่างถูกต้อง ธุรกิจของคุณจะเติบโตอย่างมั่นคงในระยะยาว

ธุรกิจตกแต่งภายในไม่ได้มีแค่ความสวยงามในผลงาน แต่ต้องมาพร้อม “ความเป๊ะในเอกสาร” และ “ความเข้าใจในภาษี” เพราะการจัดการที่ดีจะช่วยให้คุณไม่ต้องเสียภาษีเกินความจำเป็น และยังสามารถวางแผนต่อยอดธุรกิจได้ในอนาคต

ไม่ว่าคุณจะเพิ่งเริ่มทำธุรกิจ หรือดำเนินการมาสักพักแล้ว การมีระบบบัญชีและภาษีที่ถูกต้อง จะช่วยให้คุณ เติบโตอย่างมั่นคง มีกำไร และไม่ถูกสรรพากรย้อนตรวจภายหลัง

หากคุณไม่มั่นใจในการคำนวณภาษีหรือจัดการบัญชีอย่างถูกต้อง

สำนักงานบัญชีกรุงเทพ (2009) ยินดีที่จะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกหนึ่ง ให้คุณได้ผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมให้คำปรึกษาและดูแลบัญชี-ภาษีของคุณ ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการทำผิดกฎหมาย และช่วยให้คุณวางแผนการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากสนใจ ติดต่อเราได้ครับ